SAMART Unlimited Solutions

“กลุ่มสามารถ” เดินหน้าใช้กลยุทธ์ “Unlimited Solutions” หลังพลิกฟื้นและวาง รากฐานธุรกิจใหม่ ตั้งเป้าปี 63 มีรายได้รวม 20,000 ล้านบาท

กลุ่มบริษัทสามารถ ผู้ให้บริการเทคโนโลยีครบวงจร เดินหน้า สร้างความมั่นคงทางธุรกิจ โดยมุ่งเน้น 3 เป้าหมายหลัก ได้แก่ ลงทุนใน ธุรกิจที่มีความต้องการสูง ลงทุนในธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ และลงทุนใน ธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตในอนาคต พร้อมชูกลยุทธ์ Unlimited Solutions เพื่อ ตอบโจทย์ Digital Transformation แก่ภาครัฐและเอกชน โดยตั้งเป้าหมาย รายได้ 20,000 ล้านบาท

                นายวัฒน์ชัย วิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.สามารถคอร์ปอเรชั่น เปิดเผยว่า “ปี 2019 ที่ผ่านมา เป็นปีแห่งการพลิกฟื้นและวางรากฐานธุรกิจ ใหม่ของกลุ่มสามารถ มีการสร้างผลงานเด่นๆที่จะเป็นโอกาสสร้างรายได้ต่อ เนื่องในอนาคต ทั้งธุรกิจด้าน Banking Solutions ในการทำระบบ Core Banking ให้กับแบงก์ธอส. และแบงก์เอสเอ็มอี , โครงการระบบคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปสำหรับธุรกิจหลัก ให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่มีมูลค่า ถึงกว่า 5,000 ล้านบาท ,โครงการสถานีไฟฟ้าย่อย (Substation) และการนำ สายไฟลงดิน หรือ Underground Cable Services ของบริษัท เทด้า ที่มีงานใน มือแล้วประมาณ 3,500 ล้านบาท

                ส่วนธุรกิจที่มีโอกาสสร้างรายได้ในปีนี้ คือ Digital Trunk Network ที่ติดตั้งเครือข่ายครอบคลุมไปแล้วประมาณ 90% ซึ่ง จะเป็นโอกาสในการจำหน่ายเครื่อง Digital Trunk Radio เพิ่มขึ้น ในส่วน ธุรกิจ Cyber Security ได้มีการเปิดตัวบริษัท ซีเคียวอินโฟ อย่างเป็นทางการ โดย IBM ให้เราเป็นพันธมิตรรายแรกและรายเดียวในประเทศไทยใน การนำเทคโนโลยี Watson AI มาใช้ ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบในการให้บริการ กลุ่มสามารถจึงมีโอกาสสร้างรายได้เพิ่มขึ้น 40 – 50% โดยจะเป็นงานของ สายธุรกิจ ICT มากถึง 9,500 ล้านบาท

                สำหรับปี 2020 นี้ แม้จะมีการคาดการณ์ว่าสภาพเศรษฐกิจอาจจะยังไม่สดใส นัก แต่ “กลุ่มสามารถ” มั่นใจที่จะให้เป็นปีแห่งการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และขยายธุรกิจด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง โดยชูกลยุทธ์นำเสนอ โซลูชั่น และเทคโนโลยีที่หลากหลาย หรือ Unlimited Solutions จากปัจจัยที่มาจาก นโยบายภาครัฐที่จะก้าวสู่การเป็นรัฐบาลดิจิทัล (Digital Government) ด้วย การส่งเสริมด้านเทคโนโลยี ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ของประเทศ เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตและการแข่งขัน ทั้ง E-Public  Services , Critical Infrastructure , Cyber Security , Green Technology และ Human Transformation ซึ่งเป็นโอกาสทางธุรกิจของ “สามารถ” เราจึงตั้งเป้า รุกธุรกิจโดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม

                ทั้งนี้ประกอบด้วย 1. กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ (High Demand Solutions for Critical Infrastructure)Finance/Banking Solutions อาทิ Core Banking , Payment Service , Data Center for Banks จากลูกค้าในกลุ่มเป้าหมายทั้ง ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน ธนาคารเอสเอ็มอี ฯลฯ รวมมูลค่ากว่า 3,000-4,000 ล้านบาท Airport Solutions จากโครงการระบบตรวจบัตรโดยสารขึ้น เครื่อง (CUTE) และ ระบบตรวจสอบและคัดกรองผู้โดยสารล่วง หน้า (APPS) ของ บมจ.ท่าอากาศยานไทย ที่มีมูลค่ารวมกว่า 8,000 ล้านบาท Cyber Security เฝ้าระวัง ป้องกันและแก้ไขภัยคุกคามทาง ไซเบอร์ ที่ส่งผลกระทบกับธุรกิจต่างๆ สูงขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงการที่ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ 2562 จะบังคับ ใช้กับหน่วยงานต่าง ๆ กลุ่มลูกค้าเป้าหมายจึงมีทั้งหน่วยงาน ภาครัฐและเอกชน รวมมูลค่า 200-300 ล้านบาทNetwork Solution ที่เกี่ยวข้องกับ Nationwide Fiber Optic , IP Telephony จากกระทรวงมหาดไทย , การรถไฟแห่งประเทศไทย และอื่นๆ รวมมูลค่า 2,000 ล้านบาท

                2. กลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (High Recurring Rev. Projects) โดย ในปี 2019 กลุ่มสามารถมีรายได้ประจำอยู่ที่ 5,400 ล้านบาท และใน ปี 2020 นี้ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 6,200 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น โครงการของสายธุรกิจ ICT ที่คาดว่าปีนี้จะมีโอกาสเข้าร่วมประมูล อีกประมาณ 2 หมื่นล้านบาท อาทิ โครงการกับการไฟฟ้าส่วน ภูมิภาค บมจ.ท่าอากาศยานไทย ธนาคารและสถาบันการเงิน เป็นต้น

                3. กลุ่มธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูง หรือ High Future Growth Business ที่นอกจากเราลงทุนในธุรกิจสถานีไฟฟ้าย่อย (Substation) และ การนำสายไฟลงดิน หรือ Underground Cable รวมถึงธุรกิจด้าน พลังงาน หรือ Solar Energy แล้ว ปีนี้ กลุ่มสามารถจะนำบริษัทใน เครือเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วง ไตรมาส 2 คือ บริษัท สามารถ เอวิเอชั่น โซลูชั่นส์ หรือ SAV ที่ ดำเนินธุรกิจลงทุนในบริษัทอื่น (Holding company) โดยเน้นลงทุน ในบริษัทที่ประกอบธุรกิจการจราจรทางอากาศ หรือธุรกิจที่เกี่ยว เนื่องกับการจราจรทางอากาศ โดย SAV ถือสัดส่วนร้อยละ 100.00   ในบริษัท แคมโบเดีย แอร์ ทราฟฟิค เซอร์วิส จำกัด “CATS” เพียง บริษัทเดียว โดยธุรกิจของ CATS เป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำและ มีการเติบโตขึ้นทุกปี จากการเติบโตท่องเที่ยวของประเทศกัมพูชา และเศรษฐกิจของเพื่อนบ้าน ที่ส่งผลต่อจำนวนเที่ยวบินที่ขึ้นลงใน สนามบินและเที่ยวบินที่บินผ่านน่านฟ้ากัมพูชาที่เพิ่มขึ้น

                นายวัฒน์ชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า “ปี 2563 นี้ จะเห็นความคึกคักในการมาของ 5G ที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคและพลิกโฉมเศรษฐกิจอีกครั้ง การรับ ส่งข้อมูลระยะไกลจะรวดเร็วแม่นยำขึ้น ทำให้เกิดการใช้ประโยชน์จาก IoT ได้อย่างเต็มศักยภาพ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น สาธารณสุข การขนส่ง ความมั่นคง ระบบการเงินรูปแบบใหม่ๆ ซึ่ง เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะส่งผลต่อโอกาสทางธุรกิจ ของกลุ่มสามารถ บริษัทฯ จึงตอบรับความท้าทายอย่างมั่นใจด้วยการตั้งเป้ารายได้ในปี 63 เราจะ เติบโตขึ้นไม่ต่ำกว่า 40% ยังคงมุ่งเน้นการเพิ่มรายได้ประจำและการ เติบโตแบบยั่งยืน โดยตั้งเป้ารายได้ในปี 63 ไว้ที่ 20,000 ล้านบาท”

                                                    ———————————————–

You May Also Like

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *