CPF ติดอันดับ ESG100 ย้ำจุดแข็งผู้ผลิตอาหารยั่งยืนสู่เวทีโลกยึด 3 ประโยชน์ สร้างการเติบโตให้ ประเทศ ประชาชน บริษัท

CPF ติดอันดับ ESG100 ย้ำจุดแข็งผู้ผลิตอาหารยั่งยืนสู่เวทีโลกยึด 3 ประโยชน์ สร้างการเติบโตให้ ประเทศ ประชาชน บริษัท 

สังคมโลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากปัจจัยแวดล้อมหลายด้านทั้งสังคม สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี ซึ่งล้วนมีผลต่อการรับรู้ข่าวสารและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคของมนุษย์ทั้งสิ้น และยังเป็นแรงผลักดันสำคัญให้ภาคธุรกิจต้องกำหนดนโยบายการผลิตสินค้าด้วยความรับผิดชอบอย่างรอบด้าน โปรงใสและตรวจสอบได้ตลอดห่วงโซ่การผลิต  เพื่อตอบโจทย์ “ความยั่งยืน” ของสังคมโลก

บริษัทชั้นนำระดับโลกต่างกำหนดเป้าหมายความยั่งยืนไว้ชัดเจน เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจ โดยให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคม และการปฏิบัติตามหลักธรรมาภิบาล (Environment Social Governance : ESG) สอดคล้องตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs)

ในฐานะผู้นำในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารครบวงจร ด้วยมาตรฐานการผลิตระดับโลก บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ มีการปรับเปลี่ยนการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลตลอดเวลา ตลอดจนร่วมมือกับผู้มีส่วนได้เสีย และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ใหม่ๆ ร่วมกับทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาสังคม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อนำไปสู่เป้าหมายการเติบโตอย่างยั่งยืน

เมื่อเร็วๆ นี้ ซีพีเอฟ ได้รับมอบประกาศนียบัตร “Certificate of ESG 100 Company” ปี 2563 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 จากสถาบันไทยพัฒน์ สะท้อนความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และยึดหลักธรรมาภิบาล ตลอดจนคำนึงถึงผลตอบแทนต่อนักลงทุนและผู้มีส่วนได้เสีย สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมมอบรางวัล 3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืน ให้กับหน่วยงานภายในองค์กร ที่ขับเคลื่อนธุรกิจตามแนวทางความยั่งยืน

ดร.พิพัฒน์ ยอดพฤติการ ประธานสถาบันไทยพัฒน์ กล่าวว่า การที่ ซีพีเอฟ ได้รับการจัดอันดับอยู่ในกลุ่มหลักทรัพย์ ESG 100 อย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นว่าบริษัทฯ ดำเนินธุรกิจโดยคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ด้วยปรัชญา 3 ประโยชน์ และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับองค์กร ชุมชน สิ่งแวดล้อมในห่วงโซ่อุปทาน ทั้งในระดับประเทศและสากล สะท้อนความชัดเจนของนโยบายบริษัทฯ ตามวิถียั่งยืน ตลอดจนสนองตอบความต้องการของผู้ลงทุนที่ให้น้ำหนักการลงทุนในบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ และเป็นทางเลือกให้ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีคุณภาพและได้รับผลตอบแทนไม่ด้อยไปกว่าการลงทุนในแบบทั่วไป

“ซีพีเอฟ เป็นบริษัทชั้นนำระดับแนวหน้าในกลุ่มธุรกิจอาหาร ที่ทำธุรกิจบนจุดแข็งของประเทศ และสามารถนำบริษัทไปสู่เวทีโลก อย่างรับผิดชอบภายใต้ปัจจัย ESG ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ยืนยันการดำเนินธุรกิจด้านความยั่งยืน” ดร.พิพัฒน์ กล่าว 

นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร ซีพีเอฟ กล่าวภายหลังรับมอบประกาศนียบัตร ESG 100 ว่า  ในฐานะองค์กรที่เป็นสมาชิกที่ดีของประเทศไทย นับเป็นความภาคภูมิใจของบริษัทฯ ที่ได้ทำกิจกรรมที่เหมาะสมเพื่อส่วนรวม ควบคู่ไปกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนภายใต้หลักการ ESG ซึ่งสอดคล้องกับปรัชญา 3 ประโยชน์ คือ ประเทศชาติ ประชาชน และบริษัท โดยมุ่งสู่เป้าหมายความยั่งยืนระดับสากล เพื่อสร้างสมดุลการดำเนินธุรกิจในมิติเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม โดยยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน

“ซีพีเอฟ เชื่อมั่นว่าการขับเคลื่อนองค์กรโดยยึดหลักการ ESG เป็นพื้นฐานสำคัญ ที่นำมาซึ่งความไว้วางใจ ความสามารถในการแข่งขัน ประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการดำเนินงาน ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ ผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้เสียอื่นๆ รวมถึงบริษัทฯ ในระยะยาว ขณะเดียวกันจะสามารถตอบสนองคุณค่าที่ดีให้กับชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน” นายประสิทธิ์ กล่าว  

นายประสิทธิ์  กล่าวว่า ทุกธุรกิจของ ซีพีเอฟ มีการจัดกิจกรรมอย่างเหมาะสมทั้งการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม การช่วยเหลือและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนรอบสถานประกอบการ เช่น โครงการ ซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน ครอบคลุมพื้นที่กว่า 2,388 ไร่ และโครงการ ซีพีเอฟ รักษ์นิเวศลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง เพิ่มพื้นที่ป่า 6,000 ไร่   

เพื่อเป็นการสร้างแรงบันดาลใจและกำลังใจให้พนักงานตระหนักถึงการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน ซีพีเอฟ จึงมีการมอบรางวัล “3 ประโยชน์สู่ความยั่งยืน” (CPF CSR Awards) ให้กับพนักงงานของสายธุรกิจต่างๆ ภายใต้กลยุทธ์ 3 เสาหลักสู่ความยั่งยืน คือ อาหารมั่นคง สังคมพึ่งตน  ดินน้ำป่าคงอยู่ ไปสู่การปฏิบัติทั่วทั้งองค์กร ตลอดจนสนับสนุนการดำเนินงานด้านความรับผิดชอบต่อสังคมสู่ความยั่งยืนและสามารถเป็นต้นแบบให้กับสายธุรกิจอื่นๆ นำไปปฏิบัติ เพื่อสร้างพื้นฐานทางธุรกิจให้แข็งแกร่ง ควบคู่ไปกับการสร้างรากฐานคุณภาพชีวิตที่ดีของคนในสังคมด้วย  

โดยในปี 2562 มีโครงการที่ผ่านการคัดเลือกทั้งหมด 39 โครงการ จาก 9 สายธุรกิจ ประกอบด้วย อาหารสัตว์บก สุกร ไก่เนื้อ ไก่ไข่ เป็ดเนื้อ สัตว์น้ำ อาหารสำเร็จรูป ห้าดาวและร้านอาหาร และธุรกิจครบวงจรภาคเหนือ แบ่งเป็นประเภทยอดเยี่ยม จำนวน 7 โครงการ รางวัลดีเด่น จำนวน 12 โครงการ และรางวัลชมเชย จำนวน 20 โครงการ โดยมีกิจกรรมหลากหลายครอบคลุมด้านอาหารปลอดภัย อนุรักษ์ธรรมชาติ และการสร้างรายได้เสริมให้คนในชุมชน เพื่อสร้างสังคมและสมดุลธรรมชาติอย่างยั่งยืน./

          ——————————————— 

You May Also Like

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *