ลอนดอน — (BUSINESS WIRE) – บริษัท เอ็นทีที จำกัด (NTT Ltd.) ผู้ให้บริการเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก และ Schneider Electric ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นสำหรับการจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ ประกาศความร่วมมือนำโซลูชั่น Private 5G (P5G) และแพลตฟอร์มที่สนับสนุนด้าน Digitization ต่อยอดสู่โซลูชั่นครบวงจรที่ออกแบบมาเพื่ออุตสาหกรรมการผลิตโดยเฉพาะ
ความร่วมมือที่มีมาอย่างยาวนานระหว่างเอ็นทีที และ Schneider Electric ได้พัฒนาขึ้นบนพื้นฐานการสร้างนวัตกรรมเชิงกลยุทธ์ร่วมกัน ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าบรรลุเป้าหมายด้านประสิทธิภาพการและความยั่งยืน โดยอาศัยกระบวนการดิจิทัลขั้นสูงในกลุ่ม Industry X
ทั้งนี้ แพลตฟอร์ม P5G มีการนำร่องใช้เป็นครั้งแรกเมื่อต้นปี 2565 ที่โรงงาน Lexington Smart Factory ซึ่งเป็นต้นแบบโรงงานอัจฉริยะแห่งแรกของ Schneider Electric ในสหรัฐอเมริกา ที่ใช้ประโยชน์จาก Industrial Internet of Things (IIoT) การวิเคราะห์แบบ Edge Analytics และการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ (Predicative Analytics) เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน โดย P5G จะเข้ามาช่วยเสริมประสิทธิภาพของระบบการใช้งาน (Key Use-Cases) แก้ปัญหาความพร้อมใช้งานของอุปกรณ์ ประสิทธิภาพของเครื่องจักร และคุณภาพของผลิตภัณฑ์
บริษัทต่าง ๆ สามารถผสานความสามารถของระบบ Machine Vision ซึ่งเป็นกล้องอุตสาหกรรมที่มีเลนส์เฉพาะทาง เข้ากับระบบอัตโนมัติของโรงงานและคลังสินค้าที่มีอยู่ โดยระบบจะสามารถระบุข้อผิดพลาด ตลอดจนการสึกหรอที่เป็นต้นเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นได้ในเวลาเกือบจะเรียลไทม์
โซลูชั่นที่ร่วมกันพัฒนาขึ้นยังมาพร้อมกับโมเดลการบริหารการปฏิบัติงานให้มีความปลอดภัย (Operational Integrity Management) ที่สามารถปรับขยายโมเดลตามปัจจัยระดับโลกที่เกิดขึ้นได้ เพื่อขับเคลื่อนให้เกิด Industry 4.0 และแพลตฟอร์ม Network Edge
ความสามารถเพิ่มเติมของระบบการใช้งาน (Use-Cases) ของ P5G ยังรวมถึง :
- การเชื่อมต่อที่เป็นอิสระสำหรับการจัดการอุปกรณ์ AGV ทั่วทั้งโรงงาน ทำให้โรงงานมีขั้นตอนการทำงาน (Workflow) ที่มีประสิทธิภาพและแม่นยำยิ่งขึ้น
- มีแอปพลิเคชันสำหรับระบบ Machine Vision ที่สามารถตรวจจับความผิดปกติของประสิทธิภาพของเครื่องจักรเพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องจักรมีประสิทธิภาพสูง พร้อมใช้งาน และสามารถคงการผลิตเพื่อรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์
- มีโซลูชัน Augmented Reality รองรับผู้ปฏิบัติงานระยะไกลในการบำรุงรักษาและจัดการกับอุปกรณ์ต่าง ๆ พร้อมทั้งสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ปฏิบัติงาน (Worker Experience)
นาย Shahid Ahmed รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ส่วน New Ventures and Innovation ของเอ็นทีที กล่าวว่า การเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในครั้งนี้ ทำให้มั่นใจว่า โซลูชั่น P5G ของเอ็นทีทีจะช่วยสนับสนุนธุรกิจของ Schneider Electric และเสริมทัพความแข็งแกร่งของระดับการให้บริการด้าน Service Level Objectives (SLO) ด้วยโซลูชั่น Machine Vision ที่ช่วยแก้ปัญหาด้านความต่อเนื่องในการปฏิบัติงานและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ทั่วทั้งโรงงาน Schneider ทั้งที่ Lexington และ Lincoln
นาย Ahmed กล่าวต่อว่า แพลตฟอร์ม P5G ยังมาพร้อมกับบริการจัดการครบวงจร (Full-stack Managed Services) ระบบ Process Workflow และการผนวกรวมแอปพลิเคชัน IoT ที่ตอบสนองเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของ Schneider ในการเพิ่มประสิทธิภาพของโรงงานและลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นศูนย์ในที่สุด
นาย Luc Rémont รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายปฏิบัติการระหว่างประเทศ ของ Schneider Electric กล่าวเสริมว่า การเป็นพันธมิตรกับเอ็นทีที ทำให้บริษัทสามารถขยายความเชี่ยวชาญด้านการผลิต พร้อมมีศูนย์ข้อมูลและโซลูชั่นด้านเครือข่ายที่ช่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมสำหรับการใช้งาน Edge Private 5G ของตัวเอง
“จากมุมของการพัฒนาอย่างยั่งยืน เรามองว่า นอกเหนือจากการควบคุมและการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงที่ได้จากความร่วมมือในครั้งนี้ การใช้เครือข่ายไร้สายทำให้เราได้รับประโยชน์ที่มากกว่าการใช้เครือข่ายสายเคเบิลแบบเดิม เพราะการใช้ระบบสายทองแดงที่น้อยลงย่อมหมายถึงการใช้พลังงานที่น้อยลงเช่นกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็เป็นไปตามเป้าหมายในการลดการปล่อยคาร์บอนให้เป็นศูนย์ของเรา” นาย Rémont กล่าว
สำหรับแผนการสร้างความร่วมมือในอนาคต เอ็นทีทีจะนำบริการ Private 5G และบริการศูนย์ข้อมูล (Data Center) ผสานเข้ากับเทคโนโลยีของ Schneider Electric โดยเฉพาะเทคโนโลยีศูนย์ข้อมูลสำเร็จรูป (Prefabricated Data Center) โดยใช้โซลูชัน EcoStruxure™ ของ Schneider ในการผสานรวมและทดสอบเทคโนโลยี Edge ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถนำเทคโนโลยีดังกล่าวไปใช้ในโรงงานของ Schneider Electric ได้ครบ 100 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2565
ศูนย์ข้อมูลสำเร็จรูป (Prefabricated Data Center) ของ Schneider Electric เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้ให้บริการคลาวด์และผู้ให้บริการต่าง ๆ สามารถปรับขยายศูนย์ข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันยังตอบสนองเป้าหมายด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยศูนย์ข้อมูลสำเร็จรูปแบบโมดูลาร์ (Prefabricated Modular Data Center) ช่วยลดเวลาในการติดตั้งระบบได้ถึง 60 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับศูนย์ข้อมูลแบบเดิม ด้วยการใช้วิธีการก่อสร้างแบบยั่งยืนที่ทำให้ศูนย์มีระดับความน่าเชื่อถือ (Reliability) เพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดพลังงาน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
—————————————