ในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลกได้พัฒนากรอบยุทธศาสตร์เพื่อขับเคลื่อนนโยบายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์อย่างยั่งยืนในสามเสาหลักที่เชื่อมโยงถึงกัน Connected Planet: ใช้โซลูชั่นเทคโนโลยีที่ช่วยปกป้อง ฟื้นฟู และสร้างสรรค์ธรรมชาติขึ้นใหม่ ด้วยการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอันล้ำค่าเพื่อสืบทอดต่อให้กับคนรุ่นหลัง Connected Economy: ใช้เทคโนโลยีที่เชื่อถือได้เพื่อช่วยให้องค์กรเจริญเติบโตและมีส่วนร่วมในดิจิทัลแห่งอนาคตที่ยั่งยืนและยืดหยุ่นมากขึ้น Connected Communities: สนับสนุนชุมชนที่หลากหลายและครอบคลุมเพื่อเข้าถึงเทคโนโลยีได้ ซึ่งเอ็นทีทีได้ดำเนินการเพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนมีโอกาสและตระหนักถึงศักยภาพของตนเอง
บริษัท เอ็นทีที จำกัด (NTT Ltd.,) ผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีและโซลูชั่นสำหรับธุรกิจระดับโลก ประกาศในวันนี้ถึงพันธกิจหลายประการในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และการสร้างอนาคตที่เชื่อมโยงถึงกันให้มีความยั่งยืนและครอบคลุมสำหรับทุกคน โดยเอ็นทีทีจะดำเนินงานเพื่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2030 และสร้าง value chain ให้สำเร็จภายในปี 2040 นอกจากนี้ เอ็นทีทีกำลังขับเคลื่อนในส่วนของ Global Data Center โดยมีพื้นที่การดำเนินงานเกือบ 600,000 ตารางเมตร ใน 20 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก ด้วยการใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ภายในปี 2030 ถือเป็นลำดับความสำคัญอันเร่งด่วน
นอกจากนี้ เอ็นทีทียังภูมิใจที่ได้เข้าร่วมแคมเปญ Race to Zero ของสหประชาชาติ และร่วมลงนามใน Business Ambition for 1.5C ซึ่งเป็นโครงการที่กำหนดเป้าหมายเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกของ Science Based Targets Initiative (SBTi) ด้วยความคิดริเริ่มเหล่านี้ถือเป็นมาตรฐานสูงสุดสำหรับการดำเนินการด้านสภาพอากาศขององค์กร โดยตั้งเป้าที่จะสนับสนุนธุรกิจที่มุ่งมั่นสู่เป้าหมายในการจำกัดภาวะโลกร้อนไว้ที่ 1.5 องศาเซลเซียส และหลีกเลี่ยงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายที่สุด
อภิจิต ดูเบย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารระดับโลกของ NTT Ltd. กล่าวว่า ในฐานะหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลก เรามีหน้าที่ต้องทำให้โลกใบนี้น่าอยู่และปลอดจากมลพิษ ซึ่งพนักงาน ลูกค้า และคู่ค้าต่างเรียกร้องให้บริษัทต่างๆ มีจุดมุ่งหมายดังกล่าวมากขึ้น และนี่คือแก่นแท้ของเอ็นทีทีที่จะเป็นมรดกส่งต่อถึงรุ่นต่อๆ ไป และผมมีความภูมิใจอย่างยิ่งที่ได้ประกาศความมุ่งมั่นของเราในการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์และมีเป้าหมายความเชิงกลยุทธ์อย่างยั่งยืนในวงกว้าง ซึ่งเป็นก้าวสำคัญสำหรับเราโดยจะเห็นว่าเอ็นทีทีได้ใช้เทคโนโลยีที่ไม่เพียงแต่ช่วยให้โลกมีความยั่งยืนมากขึ้นเท่านั้นแต่ยังเชื่อมต่อถึงกันอีกยาวไกล เราจะลงทุนด้านเทคโนโลยี บุคลากร และโครงการต่อไปเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเหล่านี้
กรอบยุทธศาสตร์ของเอ็นทีที มุ่งเน้นไปที่การเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนและการเปลี่ยนแปลงในสามเสาหลักที่เชื่อมโยงถึงกัน ได้แก่
Connected Planet:
พัฒนานวัตกรรมใหม่และขยายความร่วมมือเพื่อขยายเทคโนโลยีโซลูชั่นที่เน้นการปกป้องและฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพและระบบนิเวศในทุกทวีปเพื่อสนับสนุนอนาคตที่ดียิ่งขึ้นภายในปี 2025ผสมผสานหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนและออกแบบการปฏิรูปการทำงานร่วมกันในเรื่องของการดำเนินงาน ซัพพลายเชน และโซลูชั่นของลูกค้าภายในปี 2026การมีส่วนร่วมของพนักงาน 50% ในการอนุรักษ์และริเริ่มการปฏิรูปในชุมชนท้องถิ่นของพวกเขาเพื่อสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN SDGs) และทศวรรษแห่งการฟื้นฟูระบบนิเวศ (UN Decade on Ecosystem Restoration) ภายในปี 2025
Connected Economy:
ขยายผลการดำเนินงานด้าน Smart Solutions เพื่อรองรับลูกค้าและพันธมิตรในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ Greenhouse Gas (GHG) ในปริมาณ 200 ล้านตันภายในปี 2026
จัดตั้งกองทุนนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน คณะกรรมการพิจารณา และโครงการให้คำปรึกษาเพื่อบ่มเพาะแนวคิดและขยายผลกระทบของเทคโนโลยีภูมิอากาศ รวมถึงแนวทางแก้ไขที่ยั่งยืนเพื่อสนับสนุน UN SDGs
Connected Communities:
มากกว่า 50% ของพนักงานบริษัทซึ่งมีอย่างน้อยหนึ่งกลุ่มหรือมากกว่านั้นที่จะมีความหลากหลายทางเพศ, เชื้อชาติ, รสนิยมทางเพศ, ภูมิหลังทางเศรษฐกิจและสังคม และทุพพลภาพ เพื่อเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นดังกล่าวเอ็นทีทีจะเพิ่มความหลากหลายของทีมผู้บริหารระดับสูงเป็นสองเท่าโดยเน้นการเป็นตัวแทนของผู้หญิงภายในปี 2025 คัดเลือกเด็กและเยาวชน 5 ล้านคนจากพื้นที่ด้อยโอกาสทั่วโลก ให้สามารถเข้าถึงและได้รับการศึกษาทางดิจิทัล เพื่อลดความไม่เท่าเทียมกันและสร้างทักษะและโอกาสที่สำคัญสำหรับอนาคต โดยจะเชื่อมโยงถึงกันภายในปี 2030 เปิดโอกาสและให้อำนาจแก่พนักงานในการสละเวลา 1 ล้านชั่วโมง ในการเป็นอาสาสมัครเพื่อสนับสนุนการริเริ่มเพื่อก่อให้เกิดสามเสาหลักที่เชื่อมโยงถึงกันเพื่อสนับสนุน UN SDGs ภายในปี 2025
มาริลิน แชปลิน หัวหน้าฝ่ายทรัพยากรบุคคลและความยั่งยืนของ NTT Ltd. กล่าวว่า เราทราบดีว่าโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการสร้างผลกระทบเชิงบวกคือการทำงานผ่านบุคลากร การดำเนินงาน และโซลูชั่นในธุรกิจหลักของเรา กรอบยุทธศาสตร์นี้ได้ให้ทิศทางที่ชัดเจนแก่เราในการสร้างความแตกต่างที่เป็นรูปธรรมในสังคม เศรษฐกิจ และโลกของเรา นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้เราสนับสนุนความคิดริเริ่มที่มีอยู่ของเราต่อไป เช่น Connected Conservation Foundation ซึ่งใช้เทคโนโลยีเพื่อลดการรุกล้ำ และ ROBOCEAN สตาร์ทอัพที่ต้องการลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยการอนุรักษ์หญ้าทะเล ซึ่งฉันหวังว่าจะได้ทำงานร่วมกับทีมงานที่หลากหลายและมีความสามารถเพื่อช่วยเร่งการเปลี่ยนแปลงที่เราต้องการเห็นบนโลกใบนี้และทำให้พันธสัญญาเหล่านี้เป็นจริงได้
สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา website เพื่อทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความมุ่งมั่นของเราในการทำให้โลกนี้เป็นสถานที่ที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น
NTT Ltd. เป็นส่วนหนึ่งของ NTT Group ซึ่งมุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยมลพิษให้เป็นศูนย์ committing to zero emissions ทั่วทั้งกลุ่มและบริษัทในเครือภายในปี 2040
———————————–
เกี่ยวกับเอ็นทีที
NTT Ltd. เป็นบริษัทผู้ให้บริการเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก เราร่วมมือกับองค์กรต่างๆทั่วโลกเพื่อกำหนดและบรรลุผลผ่านโซลูชั่นเทคโนโลยีอัจฉริยะ สำหรับเราแล้วอัจฉริยะหมายถึงการขับเคลื่อนข้อมูล การเชื่อมต่อดิจิทัล และความปลอดภัย ในฐานะผู้ให้บริการไอซีทีระดับโลกเรามีพนักงานมากกว่า 40,000 คนประจำอยู่ตามสำนักงานสาขา มากกว่า 57 ประเทศ และมีการแลกเปลี่ยนทางการค้าใน 73 ประเทศ พร้อมทั้งให้บริการมากกว่า 200 ประเทศ และเมื่อร่วมมือกันเราสามารถสร้างสรรค์อนาคตที่ทุกอย่างเชื่อมถึงกัน กรุณาเข้าเยี่ยมชมที่ hello.global.ntt.
เกี่ยวกับ Business Ambition for 1.5°C:
Business Ambition for 1.5°C เป็นแคมเปญที่นำโดยโครงการ Science Based Targets โดยร่วมมือกับ UN Global Compact และ We Mean Business Coalition เปิดตัวในปี 2019 โดยกลุ่มพันธมิตรระดับโลกของหน่วยงานสหประชาชาติ ผู้นำธุรกิจ และอุตสาหกรรม
เกี่ยวกับ Race to Zero:
Race to Zero เป็นการรณรงค์ระดับโลกที่ได้รับการสนับสนุนจาก UN ซึ่งระดมผู้กระทำการที่ไม่ใช่ของรัฐ ซึ่งรวมถึงบริษัท เมือง ภูมิภาค สถาบันการเงิน และสถาบันการศึกษา เพื่อดำเนินการอย่างจริงจังและทันทีเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2030 และส่งมอบโลกที่มีคาร์บอนเป็นศูนย์ที่มีสุขภาพดีและยุติธรรม นำโดยผู้สนับสนุนระดับสูงสำหรับการดำเนินการด้านสภาพอากาศ – Nigel Topping และ Gonzalo Muñoz โดย Race to Zero ระดมผู้ดำเนินงานนอกรัฐบาลแห่งชาติเพื่อเข้าร่วม Climate Ambition Alliance ซึ่งเปิดตัวในการประชุม Climate Action Summit 2019 ของ UNSG โดยประธานาธิบดีแห่งชิลี Sebastián Piñera
———————————————————